การบริหารยา Potassium Chloride สำหรับพยาบาลวิชาชีพ

ภัทราภา วัฒนฤกษ์ปรีชา

ศรีสุดา อัศวพลังกูล

มงคล สุริเมือง

กลุ่มงานวิจัยและพัฒนาการพยาบาล กลุ่มการพยาบาล โรงพยาบาลแม่สอด

แนวทางการบริหารยา

การตรวจสอบยา

พยาบาลตรวจสอบยา Potassium chloride ให้ตรงตาม order ของแพทย์ให้ละเอียดก่อนการบริหารยาด้วยความละเอียดรอบคอบ
 - ชื่อ-นามสกุลของผู้ป่วย
 - ชื่อยา
 - รูปแบบยา
 - ปริมาณยา
 - จำนวนยา(พยาบาลผู้ตรวจสอบหรือเตรียมยา/บริหารยา ให้เป็นคนละคนกัน ใช้พยาบาล 2 คน)
สังเกตยาเมื่อได้รับยา Potassium chloride มาจากห้องยา คือ สติ๊กเกอร์สีส้ม บ่งชี้ “ยาที่มีความเสี่ยงสูง ควรใช้อย่างระมัดระวัง” ที่บรรจุภัณฑ์หรือบนซองยา และกำหนดให้มีสัญลักษณ์ตัวอักษร “H” ปรากฏที่ฉลากยา

การบริหารยา

ขั้นตอนการเตรียมยา/บริหารยา
 - ต้องเจือจางกับสารน้ำก่อนให้ผู้ป่วยและพลิกกลับไปมาให้เข้ากันดีกับสารน้ำก่อนให้ผู้ป่วยเสมอ ห้ามผสม K+ เข้าไปในถุงสารน้ำที่กำลังแขวนให้ผู้ป่วยอยู่
 - ห้าม IV push IV bolus เพราะทำให้หัวใจหยุดเต้นได้
 - ควรบริหารยาผ่าน infusion pump
 - ผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่องหรือ Heart block ควรลดอัตราเร็วในการบริหารยาลงประมาณครึ่งหนึ่ง
สารน้ำที่เข้ากันได้ : NSS, D5W, D5S, D10S, D5N/2, D10W, RLS
ความคงตัว : หลังเจือจางด้วย infusion fluids ควรใช้ภายใน 24 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิห้อง
เมื่อต้องให้ยา Potassium chloride พยาบาลผู้ให้ยาต้องตรวจสอบชื่อนามสกุลของผู้ป่วย ชื่อยา ขนาดยาให้ถูกต้องซ้ำก่อนให้ยาผู้ป่วย
การเตรียมยาและบริหารยา Potassium chloride ให้ปฏิบัติโดยใช้ “Independent double check process”

ข้อบ่งใช้ยา

ภาวะ Hypokalemia ที่ไม่สามารถให้โพแทสเซียมทดแทนโดยทางรับประทานได้ ในกรณีระดับโพแทสเซียม ในเลือด ลดลงอย่างรวดเร็ว ต่ำกว่า 2.5 mEq/L และมีความเสี่ยงสูงจะเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ

ขนาดยาที่ใช้

Children
 - IV intermittent infusion : 0.5-1 mEq/kg dose (ขนาดยาสูงสุด คือ 40 mEq) อัตราการให้ยา 0.3-0.5 mEq/kg/hr.
 - กรณีการให้ยาที่มากกว่า 0.5 mEq/kg/hr. ควรมีการติดตาม EKG อย่างต่อเนื่อง

Adult

ข้อห้ามใช้และข้อควรระวัง

 - ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้หรือส่วนประกอบอื่นในตำรับ
 - ห้ามให้ IV push หรือ bolus
 - ห้ามใช้ในผู้ที่มีภาวะ hyperkalemia
 - ระมัดระวังการใช้ผู้ป่วยที่มีภาวะไตวายหรือมีปัสสาวะออกน้อย, ผู้ป่วยโรคหัวใจ, ผู้ที่ใช้ยาdigoxin หรือยาที่จะมีผลเพิ่มระดับโพแทสเซียม เช่น ACEL, ARB, K-spacing

การสั่งใช้ยา Potassium Chloride ทางหลอดเลือดดำ

 - ไม่สั่งใช้ยา Potassium chloride ด้วยวาจาถ้าไม่ใช่กรณีเร่งด่วน
 - หากจำเป็นต้องสั่งด้วยวาจาต้องใช้ตัวปั๊มรับคำสั่งแพทย์ทางโทรศัพท์/วาจาทุกครั้ง พร้อมลงลายมือชื่อกำกับของพยาบาลที่รับคำสั่งและพยาบาลที่ร่วมรับฟัง Order แพทย์

การสังเกตค่า EKG

ภาวะ arrhythmia โดยสังเกตค่า EKG

การติดตามการใช้ยา

พยาบาลมีการเฝ้าระวัง ติดตาม และประเมินการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา Potassium chloride ซึ่งเป็นยาที่มีความเสี่ยงสูงตามคู่มือการใช้ยา High Alert หากสังเกตพบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ จากการใช้ยาให้รายงานแพทย์และเภสัชกรทราบทันที
 - ถ้าให้ยาเกิน 40 mEq/L ต้องวัด HR , BP อย่างน้อย ทุก 2 ชั่วโมง
 - ถ้าให้ 20-40 mEq/L หรือต่ำกว่า ให้วัด HR และ BP ทุก 4 ชั่วโมง
 - มีการตรวจติดตามค่าโพแทสเซียมในเลือดเป็นระยะ ตามความรุนแรงของผู้ป่วยหรือตามดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา ซักถามและติดตามอาการของภาวะโพแทสเซียมในเลือดสูง ได้แก่ คลื่นไส้ ใจสั่น หัวใจเต้นช้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง อึดอัด แน่นหน้าอก ชาตามปลายมือปลายเท้าทุกวัน ในช่วงที่ผู้ป่วยได้รับ Potassium chloride อยู่
 - ตรวจสอบ Infusion pump เสมอ อย่างน้อย ทุก 4 ชั่วโมง
 - ติดตามปริมาณปัสสาวะ ถ้าปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 200 ml/ 8 hrs. อาจเกิดภาวะโพแทสเซียมในเลือดสะสมได้
 - ติดตามการเกิดยารั่วออกนอกเส้นเลือด (Extravasation) เพราะอาจทำให้เกิดเนื้อเยื่อตายได้โดยเฉพาะที่ใช้ความเข้มข้นสูงมากกว่า 0.1 mEq/ml หรือ infuse ผ่าน peripheral line

เกณฑ์การรายงานแพทย์

Children
 - Blood pressure >120/80 mmHg หรือ <80/60 mmHg, Heart rate < 60 bpm/ > 180 bpm ในเด็กอายุเกิน 1 ปี
 - Blood pressure <100/70 mmHg หรือ <70/50 mmHg, Heart rate < 80 bpm/ > 220 bpm ในเด็กอายุ < 1 ปี
 - ปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 0.5 ml/kg/hrs
 - Serum potassium > 5 mEq/L
Adult
 - Blood pressure >160/90 mmHg หรือ <90/60 mmHg, Heart rate < 60 bpm/ > 120 bpm ในผู้ใหญ่
 - ปริมาณปัสสาวะน้อยกว่า 200 ml/8 hrs ในผู้ใหญ่
 - Serum potassium > 5 mEq/L

การแก้ไขภาวะเมื่อเกิดอาการไม่พึงประสงค์

หากพบว่าผู้ป่วยมีอาการของโพแทสเซียมในเลือดสูง ได้แก่ คลื่นไส้ ใจสั่น หัวใจเต้นช้า กล้ามเนื้ออ่อนแรง อึดอัด แน่นหน้าอก ชาตามปลายมือปลายเท้า หรือ HR และ BP ไม่อยู่ในเกณฑ์ข้างต้น ให้หยุดการให้ Potassium chloride ไว้ก่อนและให้ตรวจวัดระดับค่าโพแทสเซียมในเลือดทันที
หากพบว่า ผู้ป่วยมีค่าโพแทสเซียมในเลือดสูงมากว่า 5 mEq/L ให้หยุดการให้ Potassium chloride ทันที ทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ทำการดูว่ามีลักษณะที่เข้ากันได้กับภาวะ hyperkalemia เช่น พบลักษณะ T wave สูง หรือไม่ หาก พบว่า EKG ผิดปกติ ให้ monitoring EKG
พิจารณาให้การรักษาภาวะ hyperkalemia ตามอาการและความรุนแรง โดยพิจารณารักษาดังนี้
 1 การรักษาที่ออกฤทธิ์ทันที ภายใน 1-3 นาที คือการให้ 10% Calcium gluconate 10 ml ทาง IV ช้า ๆ ใน 5 นาที เพื่อไปต้านฤทธิ์ของโพแทสเซียมที่เยื่อหุ้มเซลล์ อาจให้ซ้ำได้อีกหลังให้ยาครั้งแรกนาน 5 นาที ถ้า EKG ยังผิดปกติ แต่ต้อง monitor EKG ด้วยทุกครั้ง
 2 การออกฤทธิ์เร็วปานกลาง ภายในเวลา 10-30 นาที โดยทำให้ค่าโพแทสเซียม ในเลือดถูกดึงเข้าเซลล์ คือ การให้ RI 5-10 units + 50% glucose 40-50 ml IV stat การรักษาดังกล่าว ควรติดตามระดับ Capillary blood glucose ร่วมด้วย
 3 การรักษาที่ออกฤทธิ์ช้า เป็นการรักษาเพื่อเร่งขับโพแทสเซียมออกจากร่างกาย โดยให้ยาที่มีคุณสมบัติ เป็น Cation exchange resin ได้แก่ Kalimate 30-60 g สวนทางทวารหนักจะออกฤทธิ์ภายใน เวลา 30 นาที หรือหากให้วิธีรับประทาน จะออกฤทธิ์ภายใน 2 ชั่วโมง
 4 ในกรณีผู้ป่วยที่มีการทำงานไตบกพร่องหรือไม่สามารถแก้ไขภาวะ hyperkalemia ได้ด้วยวิธี ดังกล่าวข้างต้น ให้ปรึกษาแพทย์เชี่ยวชาญทางโรคไต และพิจารณาทำการล้างไต (dialysis)
ติดตามค่าโพแทสเซียมในเลือด ทุก 4-6 ชั่วโมง ภายหลังได้รับการรักษา
ถ้าเกิด extravasation แล้วให้หยุดการหยดยาทันทีและ disconnect สาย แล้วค่อย ๆ ดูด extravasated solution ออก (ไม่ flush line) ค่อย ๆ ดึง needle/cannula ออกและยก extremity ขึ้น ใช้ dry cold compresses

การเก็บรักษายา

จัดเก็บยา Potassium chloride เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ส่วนการเก็บรักษายาให้เก็บแยกออกจากยาที่มีภาชนะบรรจุที่คล้ายคลึงกัน ไว้ที่ตู้เก็บยาที่มีความเสี่ยงสูงโดยมีกุญแจล็อก ซึ่งเวลาจะใช้ยาต้องรายงานหัวหน้าเวรให้รับทราบ เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการหยิบใช้ยา
สังเกตยาเมื่อได้รับยา Potassium chloride มาจากห้องยา คือ สติ๊กเกอร์สีส้ม บ่งชี้ “ยาที่มีความเสี่ยงสูง ควรใช้อย่างระมัดระวัง ” ที่บรรจุภัณฑ์หรือบนซองยา และกำหนดให้มีสัญลักษณ์ตัวอักษร “H” ปรากฏที่ฉลากยา